หัวอกแม่.!! แม่ลั่น“ถ้าลูกจากไปแม่ไปด้วย”- หลัง “น้องเมย์” บัณฑิตสาวสอบทำงานหน่วยราชการได้ลำดับ 1 ถูกยกเลิกกระทันหันเสียใจอย่างหนัก
จากกรณีนางสุพร อายุ 54 ปี แม่ค้าขายกะหรี่ปั๊บ ใน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ร้องเรียนขอความเป็นธรรมและช่วยเหลือ น้องเมย์ อายุ 22 ปี บุตรสาวที่มีอาการเครียดและคิดสั้นจนต้องคอยปลอบใจและดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่กล้าให้อยู่บ้านคนเดียวหวั่นคิดสั้นจึงพามาอยู่ที่ร้านขายกะหรี่ปั๊บ เนื่องจากเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ ก่อนจบได้เข้าฝึกงานที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช 2 เดือน และสมัครสอบเข้าเป็นพนักงานหน่วยงานราชการสังกัดองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งหนึ่ง ประกาศผลสอบได้ลำดับที่ 1 และเข้ารายงานตัวทำสัญญาจ้างพร้อมใช้เงินสดประกันสัญญาร้อยละ 5 ของค่าจ้างต่อเดือน ๆ ละ 14,000 บาท จำนวน 2,111 บาท สร้างความดีใจให้กับครอบครัวและญาติ ๆ รวมทั้งเพื่อนบ้าน โดยพ่อแม่ได้ไปหยิบยืมเงินเพื่อนบ้านมาจ่ายค่าประกันสัญญาจ้าง ซื้อชุดทำงาน รองเท้า และเดินทางไปจัดเตรียมโต๊ะ เก้าอี้ในห้องทำงาน กำหนดเริ่มทำงานวันที่ 1 ก.ค.2568 แต่ในวันที่ 30 มิ.ย. ก่อนถึงวันทำงาน 1 วัน ทางหัวหน้างานได้โทรศัพท์บอกยกเลิกสัญญาจ้างพร้อมให้ไปเซ็นยกเลิกสัญญาจ้างส่วนเงินค่าประกันสัญญาจะคืนให้ภายหลัง ทำให้น้องเมย์ เสียใจ เครียดอย่างหนัก มีอาการซึมเศร้าเก็บตัวเงียบในห้อง ท่ามกบลางความวิตกกังวล เป็นห่วงของพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวรานงานความคืบหน้าว่าจากการเดินทางไปที่บ้านของน้องเมย์ ย่านถนนพัฒนาการรคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พบว่าอาศัยอยู่ด้วยกัน 6 ชีวิตประกอบด้วยคุณตา อายุ 78 ปีป่วยติดเตียง พ่อ แม่ น้องเมย์ และลูกสาวของพี่ชายน้องเมย์อีก 2 คน โดยน้องเมย์ ยอมลงมาพบผู้สื่อข่าว แต่ด้วยอาการเศร้าสร้อยและมีท่าทีวิตกกังวลกับข่าวที่ถูกนำเสนอทางสื่อมวลชน ก่อนจะขอตัวกลับขึ้นไปเห็บตัวเงียบในห้องนอน
นางสุพร เปิดเผยว่า วันที่ลูกบอกว่าสอบได้ลำดับที่ 1 ทุกคนในบ้านดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อทราบว่าต้องไปผรายงานตัวและทำสัญญาจ้าง จ่ายประกันสัญญาจ้าง 2,111 บาท ในขณะที่ไม่มีเงินในครอบครัวเลย พี่ขายน้องเมย์ที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัดโอนมาช่วยจำนวนหนึ่ง ตนคิดจะนำโทรทัศน์และรถ จยย.ไปจำนำ แต่ในที่สุดกก็ไปหยิบยืมเงินเพื่อนบ้านมาสมทบ หลังจากจ่ายค่าประกันสัญญาแล้วน้องเมล์ไปเสื้อสูท 2-3 ตัวกระโปรง และรองเท้าเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในวันที่ 1 ก.ค. ในขณะที่ญาติ ๆ และเพื่อนบ้านก็มาแสดงความดีใจกับน้องเมย์ แต่เมื่อเหตุการณ์ลงเอยเป็นแบบนี้ตนสงสารลูกมาก ๆ น้องเมย์เดินทางไปเซ็นยกเลิกสัญญาจ้างงานด้วยน้ำตา ก่อนกลับมาเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ยอมสู้หน้าสังคม และพูดในบางอย่างที่ทำให้ตนและสามีหลั่งวนวิตกกังวล ว่าลูกจะคิดสั้น เช่น หนูจะไปไม่อยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ตนและสามีพยายามปลอมใจลูกและกล่าวว่า “หากลูกไปแม่ก็จะตามลูกไปด้วย” ส่วนเรื่องการรีนยกร้องขอความเป็นธรรมตนไม่รู้เรื่องระเบียบกฎหมาย แค่เป็นข่าวก็หวาดกลัวว่าทางหน่วยงานราชการดังกล่าวจะเอาเรื่อง ตนและน้องเมย์มีความผิดไหมที่ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องที่เกิดขึ้น

“น้องเมย์และทุกคนในครอบครัวจมอยู่กับความทุกข์ เศร้าโศกเสียใจอยู่ 3-4 วัน ก่อนตัดสินใจโทรปรึกษาและร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับ “คนข่าวตัวดำ” สื่ออาวุโสจังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะเท่าที่ติดตามข่าวมาหลายสิบปีเขาช่วยคนที่ทุกข์ยาก ไม่ได้รับความเป็นธรรมประสบความสำเร็จมาตลอด ปัญหาหนักในวันนี้คือวันนี้ถึงกำหนดที่จะต้องจ่ายเงินคืนเจ้าหนี้ที่หยิบยืมมาจ่ายค่าประกันสัญญาทำงานและซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ชุดทำงานของย้องเมย์ ไม่รู้จะไปหาเงินมาคืนเขาได้อย่างไรอย่างน้อย 3,500 บาท ต้องคืนเขาในวันนี้ พี่หนูขอจำนำรถ จยย.กับ “คนข่าวตัวดำ”สื่ออาวุโสได้ไหม นางสุพร กล่าวและว่าโดยในวันตนและสามีจะออกไปรับจ้างขายไข่สดริมถนนตรงข้ามเซเว่น สำเพ็งเมืองคอน”จะชวนน้องเมย์ ไปด้วยไม่รู้จะยอมไปหรือเปล่า
ผู้สื่อข่าวรายงานในเบื้องต้น “คนข่าวตัวดำ” สื่ออาวุโส ได้ตัดสินใจให้นางสุพร ยืมเงินไปจ่ายหนี้ก่อนจำนวน 3,500 บาท ในขณะเดียวกันที่มีนักธุรกิจ ทนายความและส่วนราชการได้โทรประสานเพื่อขอร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขปัญหาให้ครอบครัวน้องเมย์ โดยเฉพาะเรื่องหางานให้น้องเมย์ ทำเพื่อให้มีรายได้ช่วยเหลือครอบครัวตามความตั้งใจไปชั่วคราวก่อน และหากหน่วยงานราชการเปิดรับสมัครสอบลูกจ้างหรือพนักงานราชการก็จะแจ้งให้น้องเมย์ ไปสมัครสอบเชื่อว่าน้องเมย์จะสอบได้เพราะมีผลการเรียนสูงถึง 3.89 และมีความประพฤติ เรียบร้อยคงจะได้ทำงานที่มั่นคงต่อไปอย่างแน่นอน


ไพฑูรย์ อินทศิลา /นครศรีธรรมราช
5 ก.ค.2568