ชาวบ้าน สุดทน ร้องสื่อตรวจสอบ เจ้าอาวาสวัดดังเมืองคอนแปลงกายนั่งร้านอาหารดื่มเบียร์ ผอ.สำนักพุทธ และ คณะสงฆ์ เตรียมบุกวัดจับสึก
(5 ส.ค.)ชาวพุทธที่อาศัยอยู่ใกล้กับวัดดังแห่งหนึ่ง ใน ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้ส่งภาพภาพถ่ายเจ้าอาวาสแปลงกายแต่งชุดฆราวาสเข้าไปนั่งกินอาหารและดื่มเบียร์ในร้านอาหารแห่งหนึ่งใน จ.สุราษฏร์ธานี โดยเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวมีพฤติกรรมฉาวต่อเนื่องหลายครั้ง ตั้งแต่เรื่องนำเด็กผู้ชายและหญิงวัยรุ่นเข้ามาพำนักในวัด โดยเปิดศูนย์ฝึกมโนราห์ในวัด และทีมกีฬาฟุตบอล ฟุตซอลในนามทีมวัด พฤติกรรมส่อกระทำผิดเสพเมถุนกับผู้หญิงและชาย เรื่องเงินและทรัพย์สินของวัด มาอย่างต่อเนื่อง จนถูกเจ้าคณะจังหวัดมีคำสั่งปลดจากตำแหน่งเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ.2561 แต่เนื่องจากมีพระชั้นผู้ใหญ่กว่าระดับเจ้าคณะจังหวัดให้ท้าย หนุนหลังคอยปกป้องช่วยเหลือจนสามารถกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเดิมเมื่อช่วงปลายปี 2567
ผู้ถ่ายภาพคนดังกล่าวระบุว่าตนเองได้เดินทางไปทำธุรกิจที่ จ.สุราษฏร์ธานี ระหว่างวันที่ 4-5 ธ.ค. 2567 และเข้าไปรับประทานอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง และได้พบอดีตเจ้าอาวาสในชุดฆราวาสพร้อมวัยรุ่นอีก 1 คนนั่งดื่มเบียร์และรับประทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว ตนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจึงได้แอบถ่ายภาพเอาไว้เป็นหลักฐาน รุ่งเช้ากลับมาบ้านที่ จ.นครศรีธรรมราช และเข้าไปในวัดดังกล่าว ซึ่งมีการนำวัสดุพลาสติกมามอบให้กับวัดเพื่อทอดลองแปรรูปเป็นน้ำมัน โดยเจ้าอาวาสห่มจีจรเหมือนพระทั่ว ๆ ไป และใส่รองเท้าแตะสีขาวคู่เดียวกันกับที่นั่งดื่มเบียร์กับชายวัยรุ่นในร้านอาหาร ตั้งบัดวันนั้นเป็นต้นมาตนและครอบครัวไม่เข้าไปทำบุญที่วัดดังกล่าวอีกเลย และเก็บภาพดังกล่าวไว้และติดตามพฤติกรรมของเจ้าอาวาสรูปนี้มาต่อเนื่อง ทราบว่ายังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการแปลงกายเป็นฆราวาสไปเที่ยวตามร้านอาหาร สถานบันเทิงทั้งกลางวันและกลางคืน ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สุราษฏร์ธานี กระบี่และ จ.ตรัง

ในช่วงที่มีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ยักยอกทรัพย์สินวัด เสพเมถุน “สีกา ก.”และอื่น ๆ จนถูกจับกุมและทยอยสึกกันต่อเนื่อง จนมีการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการใหม่ให้วัดและเจ้าอาวาสดำเนินการอย่างเคร่งครัด พร้อมจัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนาแต่เจ้าอาวาสรูปดังกล่าวกลับไม่สำนึกยังคงดำเนินการตามอำเภอใจ ทั้งการจัดกิจกรรมงานวัด 10 วัน 10 คืน การบอกบุญขอรับบริจาคโครงการสร้างเสนาสนะในวัด การตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ในวัด เป็นต้น จึงตัดสินใจนำภาพเข้ามาร้องเรียนให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวไปถึงศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ให้เข้ามาตรวจสอบและจับสึกเจ้าอาวาสอลัชชีรูปดังกล่าวโดยเร่งด่วน
ในขณะที่การพัฒนาวัดระหว่างปี 2552-2557 วัดดังกล่าวเป็นวัดที่โด่งดังมากในการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม จนสื่อมวลชนทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นแห่นำเสนอข่าวครึกโครม มีการแห่เข้ามาทำบุญกับทางวัดจำนวนมาก เจ้าอาวาสสั่งทุบเมรุเผาศพเพื่อสร้างใหม่ แต่ปรากฏว่าในช่วงเดียวกันมีการชุมนุมประท้วงของ กปปส.เจ้าอาวาสรูปดังกล่าวเป็นคนกลางในการเกณฑ์ชาวบ้านไปร่วมชุมนุมประท้วงที่กรุงเทพด้วยรถทัวร์ปรับอากาศ 2 ชั้นหลายเที่ยว และไปปรากฏกายกลางม็อบมีการถืออาวุธปืน อาวุธปืนสงคราม ทำให้เงินที่เก็บรวบรวบเพื่อสร้างเมรุเผาศพใหม่หมดไป จนชาวบ้านรวมตัวประท้วงเพราะไม่มีเมรุเผาศพ จนกระทั้งชาวบ้านยื่นคำขาดห้ามไม่ให้เจ้าอาวาสเข้ามามีส่วนร่วมกับการทอดผ้าป่าสมทบทุนสร้างเมรุใหม่ จนชาวบ้านสามารถสร้างเมรุเผาศพใหม่ได้สำเร็จ นอกจากนี้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคยังเข้ามาเจรจาเพื่อขอตัดกระแสไฟในวัดที่ค้างค่าใช้ไฟฟ้าต่อเนื่อง 1 ปี ครึ่ง และต่อมาในช่วงเปลี่ยนรักษาการเจ้าอาวาสได้ทยอยจ่ายค่าไฟฟ้าปลดหนี้จนหมด ในปัจจุบันชาวบ้านเข้าไปทำบุญที่วัดน้อยมากแม้การจัดงานประเพณีมีศิลปินชื่อดังระดับประเทศมากมาย แต่ในแต่ละคืนก็มีคนไปเที่ยวน้อยมาก ทำให้ผู้รับเหมาและวัดขาดทุนทุกครั้ง

ในระหว่างที่พระราชปฏิยัติเวที เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (มหานิกาย) มีคำสั่งปลดพ้นตำแหน่งเจ้าอาวาสในช่วงปลายปี 2561 แต่พระรูปดังกล่าวมีพระราชาคณะระดับสูงกว่าเจ้าคณะจังหวัดพยายามวิ่งเต้นร้องเรียนเอาผิดกับเจ้าคณะจังหวัด ต่อมาทางคณะสงฆ์มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดรูปใหม่ และยกเจ้าคณะจังหวัดรูปเก่าขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (มหานิกาย) และมีการแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดดังกล่าว ในขณะที่พระอดีตเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวยังคงพยายามวิ่งเต้นจนล้มรักษาการเจ้าอาวาสจนสำเร็จ และต่อมาทางคณะสงฆ์แต่งตั้งพระลูกวัดซึ่งเป็นคนสนิทอดีตเจ้าอาวาสรักษาการเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวได้ประมาณ 5-6 เดือนรักษาการเจ้าอาวาสคนสนิทจึงลาออกเปิดทางให้คณะสงฆ์แต่งตั้งอดีตเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวกลับขั้นเป็นเจ้าอาวาสรอบใหม่ เมื่อปลายปี 2567 ซึ่งตลอดเวลาจะสร้างปัญหาความขัดแย้งในหมู่พระสงฆ์และชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงวัด มีการร้องเรียนและแจ้งความ ยื่นฟ้องศาลอ้างว่าชาวบ้านบุกรุกที่ดินวัด ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ต่อเนื่อง 40 ปี และสำนักงานที่ดินจังหวัดก็ระบุชัดเจนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ว่างเปล่า ไม่ได้เป็นที่ดินของวัดตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด
เจ้าอาวาสพยายามทุกวิถีทางในการเพื่อขับไล่ครอบครัวชาวบ้านที่อาศัยในที่ดินดังกล่าวมา 40 ปี อ้างว่าเดิมที่ดินวัดรวม 37 ไร่ แบ่งให้โรงเรียนไปเกือบ 10 ไร่ มีการออกโฉนดที่ดินวัดแค่ 8 ไร่ เหลืออีกเกือบ 20 ไร่ จะฟ้องร้องเอาคืนให้ครบ 37 ไร่ แต่ในสภาพปัจจุบันไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ทิศไหนจรดอะไร ของใคร ที่สำคัญที่ดินว่างเปล่าตามระหว่างแผนที่ของสำนักงานที่ดินรอบวัดมีการออกโฉนดที่ดินไปก่อนแล้วเมื่อ 20-30 ปี ตั้งแต่เจ้าอาวาสเป็นเด็กเล็กอายุ 3-5 ขวบ และในปัจุบันเหลือเพียงแปลงตรงข้ามโรงเรียนเนื้อที่เกือบ 10 ไร่ ซึ่งเดิมเป็นแปลงเกษตรและศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษีใหม่ ตามแนวพระราชดำริ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ของโรงเรียน เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ และชาวบ้านอาศัยอยู่ 2.75 ไร่เท่านั้นที่ยังไม่ได้ออกโฉนด เจ้าอาวาสได้ขับไล่และยึดคืนจากโรงเรียนประมาณ 7 ไร่ และจ้างเอกชนถมใหม่หมด และพยายามจะขับไล่ครอบครัวของชาวบ้านออกจากพื้นที่อ้างงว่าบุกรุกที่ดินวัด และได้ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช แต่ในที่สุดทางสำนักงานที่ดินจังหวัดยืนยันว่า “เป็นที่ดินว่างเปล่า”เจ้าอาวาสและวัดไม่ได้เป็นผู้เสียหาย

ล่าสุดพยายามสร้างเอกสารหลักฐานเท็จ ทั้งแผนที่ที่ดินแปลงพิพาท สัญญาเช่าที่ (ทำขึ้นใหม่) จัดเตรียมพยานบุคคลเกือบ 10 คนทั้งอดีตผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และชาวบ้าน และจ้างทนายยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่องขึ้นสู่การพิจารณาในชั้นศาลเจ้าอาวาสก็มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมส่อละเมิดอำนาจศาล ในขณะที่ทนายอาสา ฝ่ายจำเลยได้แจ้งข้อมูล ข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ ทางศาลพยายามอธิบายไกล่เกลี่ย ชี้แจง ทำความเข้าใจ เนื่องจากหลักฐานเบื้องต้นชัดเจนที่ดินแปลงที่พิพาทกันเป็น “ที่ดินว่างเปล่า” ผู้ใดครอบครองผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ จึงเหลือแค่ข้อพิสูจน์ว่าวัดหรือชาวบ้านใครครอบครองก่อน หากวัดครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ทำไมในสมัยอดีตเจ้าอาวาสรูปก่อน ๆ มีการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจึงออกโฉนดที่ดินวัดแค่ 8 ไร่ และไม่ได้คัดค้านชาวบ้านที่ขอออกโฉนดที่ดินว่างเปล่ารอบวัดกลายเป็นโฉนดที่ดินซื้อขายเปลี่ยนมือกันมาแล้วหลายทอด เจ้าอาวาสยึดเอาความรู้สึกเป็นประเด็นในการต่อสู้คดีคือ “เขาว่า” และเล่าความก่อนเกิด โดยศาลได้นัดไต่สวนพยานในเดือนระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2568 และจะกำหนดวันพิพากษาต่อไป หากฝ่ายชาวบ้านชนะคดีชาวบ้านยืนยันว่าจะยื่นฟ้องดำเนินคดีกับเจ้าอาวาส พยานทุกปากในข้อหา สร้างพยานหลักฐานเท็จ เป็นพยานเท็จ ให้การเท็จเพื่อหวังให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป
ไพฑูรย์ อินทศิลา /นครศรีธรรมราช
5 ส.ค. 2567